• หากท่านมีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคไทรอยด์ หรือโรคลมชัก โรคทางจิตเวช โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้า หากจำเป็น ท่านอาจต้องพบวิสัญญีแพทย์และเข้ารับการตรวจเพิ่มเติมเพื่อความปลอดภัยในการผ่าตัด
• หากท่านเคยมีประวัติการแพ้ยา หรือมีอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา โปรดแจ้งชื่อยาหรือสารที่แพ้ รวมถึงอาการแพ้ เช่น คัน ผื่นลมพิษ หายใจลำบาก เป็นต้น เพื่อที่แพทย์จะได้หลีกเลี่ยงการใช้ยาและกำหนดวิธีการให้ยาสลบที่เหมาะสม
• หากท่านเคยเข้ารับการผ่าตัดเกี่ยวกับหัวใจ ปอด ตับ ไต สมอง หรือเคยได้รับเคมีบำบัด โปรดแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
• ผู้ป่วยโรคโลหิตจางอาจมีอาการกำเริบหลังผ่าตัด จึงควรได้รับการประเมินและรักษาภาวะโลหิตจางก่อนเข้ารับการผ่าตัด
• หากมีอาการไข้สูง ไอมีเสมหะ ไอ เจ็บคอ หรือเป็นหวัดภายใน 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด โปรดแจ้งแพทย์ทันที
• ผู้ที่กำลังรับประทานยารักษาโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคไทรอยด์ โรคลมชัก ยาฮอร์โมน หรือยาทางจิตเวช จำเป็นต้องแจ้งแพทย์ผู้ทำการรักษา การใช้ยาจะต้องปรับตามความเหมาะสม โดยต้องได้รับการยืนยันจากโรงพยาบาลว่าควรหยุดหรือรับประทานต่อ และไม่ว่าท่านจะได้รับยาวันผ่าตัดหรือไม่ กรุณานำยาทั้งหมดที่ใช้อยู่ติดตัวมาที่โรงพยาบาลด้วย
• ควรงดการใช้ยาแอสไพริน ยาที่มีส่วนผสมของแอสไพริน ยาฮอร์โมน ยาสมุนไพร และวิตามินอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
• หากวันผ่าตัดตรงกับช่วงมีประจำเดือน กรุณาแจ้งแพทย์ เนื่องจากการมีประจำเดือนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการฟกช้ำและบวมหลังผ่าตัด จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการผ่าตัดในช่วงนี้
• การสูบบุหรี่ทำให้แผลหายช้า เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ และส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาสลบ แนะนำให้งดสูบบุหรี่ตั้งแต่ตัดสินใจผ่าตัด
• การดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลต่อการทำงานของตับและการสลายยาสลบ แนะนำให้งดดื่มอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
• งดน้ำและอาหารทุกชนิด รวมถึงลูกอมและหมากฝรั่ง อย่างน้อย 9 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด
• พักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนผ่าตัด
• ถอดเล็บเจล ยาทาเล็บมือและเท้า รวมถึงเครื่องประดับทั้งหมด แนะนำให้สวมเสื้อผ้าที่สบาย ไม่ใส่แหวน สร้อยคอ หรือสิ่งประดับอื่น ๆ
• ในวันผ่าตัด ควรอาบน้ำหรือทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อย หากเป็นการผ่าตัดเกี่ยวกับใบหน้า ต้องแปรงฟันให้สะอาด
• ห้ามแต่งหน้า และถอดคอนแทคเลนส์ก่อนมาถึงโรงพยาบาล
• หากกลับบ้านในวันเดียวกัน ห้ามขับรถเอง
• ควรเตรียมอุปกรณ์ปกปิดใบหน้า เช่น หมวก ผ้าพันคอ แว่นกันแดด หรือหน้ากากอนามัย
• หากมีการฝังอุปกรณ์ทางการแพทย์ในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรือประสาทหูเทียม ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่และทีมแพทย์อีกครั้งในวันผ่าตัด
ข้อควรปฏิบัติหลังการผ่าตัด
• ห้ามติดสติ๊กเกอร์ตาสองชั้นภายใน 2 สัปดาห์หลังผ่าตัด
• ภายใน 1 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด ควรรักษาท่าทางให้ศีรษะตั้งตรง หลีกเลี่ยงการก้ม และพยายามให้ศีรษะสูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อลดอาการบวม
• ควรนอนหงาย ห้ามนอนตะแคงหรือนอนคว่ำ
• สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัดหรือมีฤทธิ์กระตุ้น
• ใน 48 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัด อาจมีอาการบวมและช้ำชัดเจน ซึ่งโดยทั่วไปจะค่อย ๆ ลดลงภายใน 2–4 สัปดาห์ (แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล)
• สามารถประคบเย็นได้ในช่วง 1–3 วันแรกหลังผ่าตัด และหลังจากครบ 7 วันสามารถประคบร้อนได้
• หลีกเลี่ยงการร้องไห้ ขยี้ตา หรือการหลับตาแรง ๆ
• ห้ามให้ดวงตาได้รับแรงกด เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการเลือดออก
• การตัดไหมขึ้นกับวิธีการผ่าตัด โดยทั่วไปทำใน 6–7 วันหลังผ่าตัด
• หลังตัดไหม ควรทายาขี้ผึ้งตาอีริโทรมัยซิน (Erythromycin ophthalmic ointment) วันละ 3 ครั้ง โดยใช้คอตตอนบัดแต้มเล็กน้อย หากมีอาการตาล้า แสบตา หรือแห้ง สามารถใส่ยานี้ก่อนนอนได้
• ห้ามแกะสะเก็ดแผลหรือจับต้องบริเวณแผลเอง
• ก่อนตัดไหม ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดใบหน้าหลีกเลี่ยงบริเวณแผล
• หลังตัดไหม 3 วัน สามารถล้างหน้าและแต่งหน้าได้ แต่ควรทำอย่างเบามือ และหลีกเลี่ยงการขยี้รอบดวงตา
• หากเป็นการผ่าตัดถุงใต้ตา ให้รออย่างน้อย 3 วันหลังตัดไหมจึงเริ่มล้างหน้าได้
• หลังผ่าตัด 1 เดือน สามารถแต่งตาได้ และต้องใช้ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางสำหรับดวงตาโดยเฉพาะ
• หลังผ่าตัด 3 เดือน สามารถใส่ขนตาปลอมหรือทำหัตถการความงาม เช่น สักคิ้วกึ่งถาวร ได้
• หลังผ่าตัด 1 เดือน สามารถใส่คอนแทคเลนส์ได้
• หลีกเลี่ยงการอบไอน้ำหรือซาวน่าอย่างน้อย 1 เดือน
• หลังผ่าตัด 1 สัปดาห์ สามารถทำกิจวัตรเบา ๆ ได้
• หลังผ่าตัด 1 เดือน สามารถทำกิจกรรมที่ใช้แรงมากขึ้น เช่น ปีนเขา ฟิตเนส หรือว่ายน้ำ
• รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด หากมีอาการผิดปกติ เช่น ท้องเสีย มีผื่น ควรรีบติดต่อโรงพยาบาล
• หากปวดมาก สามารถใช้ยาพาราเซตามอลเพิ่มเติมนอกจากยาที่แพทย์สั่งได้
• หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินหรือวิตามินอีภายใน 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเลือดออก
• ห้ามสูบบุหรี่และดื่มสุราอย่างน้อย 1 เดือนหลังผ่าตัด เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เลือดออก และทำให้แผลหายช้า
• อาจมีอาการเยื่อบุตาบวม ซึ่งไม่ส่งผลต่อการมองเห็นและจะหายเอง
• อาการช้ำ เลือดออกในตา หรือเยื่อบุตาบวม อาจคงอยู่ประมาณ 2–3 สัปดาห์
• รูปตาจะคงที่ประมาณ 6 เดือนหลังผ่าตัด
• ผู้ที่ผ่าตัดแก้ไขหนังตาตกหรือตัดแต่งถุงใต้ตา อาจมีอาการตาแห้ง แพ้แสง ระคายเคืองตา หรือน้ำตาไหล ซึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้น สามารถใช้น้ำตาเทียมช่วยได้
• ผิวหนังรอบดวงตาและหน้าผากอาจมีสีคล้ำ ซึ่งจะจางลงภายในไม่กี่เดือน
• กรณีผ่าตัดถุงใต้ตาโดยเปิดแผลจากเยื่อบุตาด้านใน อาจมีน้ำเลือดซึมเล็กน้อยคล้าย “น้ำตาเลือด” ในช่วง 1 สัปดาห์แรก ซึ่งไม่ถือว่าผิดปกติ แต่หากอาการไม่หายควรมาพบแพทย์
• ในช่วงหลายเดือนแรก อาจพบลิ่มเลือดเล็ก ๆ บริเวณเยื่อบุตา สามารถรักษาได้ง่าย ไม่ต้องกังวล แจ้งโรงพยาบาลเพื่อรับการดูแล
• หากมีอาการปวดตารุนแรง การมองเห็นเปลี่ยนแปลง หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรรีบติดต่อโรงพยาบาลทันที
• ใน 1 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด ควรรักษาท่าทางให้นั่งหรือยืนตรง หลีกเลี่ยงการก้มศีรษะ และพยายามให้ศีรษะสูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อลดอาการบวม
• ควรนอนหงายตลอดใน 1 สัปดาห์แรก ห้ามนอนตะแคงหรือนอนคว่ำ
• สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด กลิ่นแรง หรือมีฤทธิ์กระตุ้น
• ใน 48 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัด อาการบวมและช้ำอาจเห็นได้ชัด โดยทั่วไปจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2–4 สัปดาห์ (แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล)
• ในช่วงวันผ่าตัดจนถึง 3 วันหลังผ่าตัด สามารถประคบเย็นได้ หลังจากนั้นไม่จำเป็นต้องประคบเย็นหรือร้อน
• ห้ามแกะหรือถอดเทปและเฝือกดั้งด้วยตนเอง
• หากมีการใส่วัสดุอุดในจมูก:
• กรณีสำลีสีขาว จะถูกนำออกภายใน 1–2 วันหลังผ่าตัด
• กรณีซิลิโคนใส จะถูกนำออกภายใน 1 สัปดาห์
การตัดไหม:
• ไหมบริเวณสันจมูก ตัดออกใน 1 สัปดาห์
• ไหมบริเวณปีกจมูก (กรณีผ่าตัดเล็กจมูก) ตัดออกภายใน 7–10 วัน
• ไหมภายในโพรงจมูก ตัดออกภายใน 2 สัปดาห์
• หลังการตรวจติดตามครั้งแรก ควรทายาตามที่แพทย์สั่งวันละครั้งจนกว่าจะตัดไหม
• ห้ามแกะสะเก็ดหรือแผลเป็นภายในโพรงจมูก
• ห้ามแคะจมูกหรือใช้คอตตอนบัดล้วงเข้าไป
• ก่อนถอดเฝือกและเทป สามารถใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้า หลีกเลี่ยงบริเวณจมูก
• หลังตัดไหมบริเวณสันจมูก 1 วัน สามารถล้างหน้าและแต่งหน้าได้ แต่ควรทำอย่างเบามือ หลีกเลี่ยงการกดหรือถูแรง
• ควรงดการอบซาวน่าและอบไอน้ำอย่างน้อย 1 เดือน
• หลังผ่าตัด 1 สัปดาห์ สามารถทำกิจกรรมเบา ๆ ได้ตามปกติ
• การออกกำลังกายหนัก เช่น ปีนเขา ฟิตเนส ว่ายน้ำ ควรพักอย่างน้อย 1 เดือน
• รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด หากมีอาการผิดปกติ เช่น ท้องเสีย มีผื่น หรืออาการอื่น ๆ รีบติดต่อโรงพยาบาล
• หากมีอาการปวด สามารถใช้ยาแก้ปวดตามที่แพทย์สั่ง หากยังปวดมาก อาจรับประทานพาราเซตามอลเพิ่มได้ 1 เม็ด
• ห้ามใช้ยาแอสไพรินหรือวิตามินอีภายใน 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด เนื่องจากเสี่ยงต่อการเลือดออก
• ห้ามสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 เดือนหลังผ่าตัด เพราะอาจทำให้แผลหายช้าและเสี่ยงติดเชื้อ
• หลังผ่าตัด 1 สัปดาห์ สามารถสั่งน้ำมูกได้เบา ๆ และหลัง 4 สัปดาห์ จึงสามารถสั่งน้ำมูกได้ตามปกติ
• อาการบวมจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล และอาจไม่เท่ากันทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นภาวะปกติ
• ในช่วงแรกอาจรู้สึกว่าจมูกแน่นหรือไม่สมดุล เนื่องจากบวม ซึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้น
• แนะนำให้สวมแว่นหลังผ่าตัดอย่างน้อย 1 เดือน
• หากมีการตอกกระดูก อาจต้องนวดบริเวณที่ผ่าตัดตั้งแต่ 1 สัปดาห์ถึง 1 เดือนหลังผ่าตัด ตามคำแนะนำของแพทย์
• อาการบวมบริเวณสันจมูกและปลายจมูกจะยุบช้ากว่าส่วนอื่น โดยรูปทรงสุดท้ายจะชัดเจนประมาณ 6 เดือนหลังผ่าตัด
• อาจมีน้ำมูก คัดจมูก หรือเลือดออกเล็กน้อยหลังผ่าตัด ซึ่งจะดีขึ้นตามเวลา
• หากมีอาการบวมรุนแรง ปวดมากผิดปกติ ผิวหนังบริเวณจมูกร้อนแดง เปลี่ยนสี หรือมีเลือดออกไม่หยุด ให้รีบติดต่อโรงพยาบาลทันที
• หากจมูกได้รับการกระแทกหรือบาดเจ็บ ต้องรีบมาพบแพทย์โดยเร็ว
• ใน 1 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด ควรรักษาศีรษะให้สูงกว่าระดับหัวใจประมาณ 20–30 องศา เพื่อลดอาการบวมของใบหน้า
• ภายใน 1 เดือน ควรนอนหงาย และหลีกเลี่ยงการนอนตะแคง เพราะอาจกดทับบริเวณผ่าตัดจนทำให้เกิดอาการไม่สบายหรือแผลฟื้นตัวช้า
• 6 ชั่วโมงหลังผ่าตัด สามารถเริ่มจิบน้ำเล็กน้อย หากไม่คลื่นไส้จึงค่อย ๆ รับประทานอาหารอ่อน เช่น โจ๊ก ขนมปังนิ่ม เต้าหู้ ไข่ต้ม หรืออาหารที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เคี้ยวง่าย
• 1 สัปดาห์แรก ควรรับประทานอาหารเหลวและอาหารอ่อนเป็นหลัก หลังจากนั้นจึงค่อยกลับมารับประทานอาหารปกติ
• ภายใน 2 สัปดาห์แรก ควรหลีกเลี่ยงอาหารมันจัด เผ็ดจัด หรือเค็มจัด และ งดอาหารแข็งหรือเหนียวที่ต้องออกแรงเคี้ยว เช่น หมากฝรั่ง ข้าวเหนียว ลูกอมแข็ง ถั่ว ฯลฯ อย่างน้อย 2 เดือน
• กรณีผ่าตัดโหนกแก้ม ต้องระวังไม่ให้บริเวณผ่าตัดรับแรงกดหรือแรงเคี้ยวอย่างน้อย 3 เดือน
• ควรดื่มน้ำอุ่นอย่างน้อยวันละ 1 ลิตร เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
• ห้ามใช้หลอดดูดน้ำ
• 3 วันแรกหลังผ่าตัด สามารถประคบเย็นเพื่อช่วยลดบวมและช้ำ
• ประมาณ 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด อาการบวมและช้ำจะเริ่มลดลง และมักดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน 3 สัปดาห์
• ช่วงวันที่ 2–3 อาจพบว่ามีอาการบวมเพิ่มขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นภาวะปกติ ไม่ต้องกังวล ให้ประคบเย็นต่อไป
• หลังจากนั้นไม่จำเป็นต้องประคบเย็นหรือร้อนเพิ่มเติม
• หลังรับประทานอาหารทุกครั้ง ต้องบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่แพทย์จัดให้ (ผสมเจือจางกับน้ำในอัตรา 1:1) เพื่อป้องกันการติดเชื้อในช่องปาก หากน้ำยาหมดสามารถใช้น้ำสะอาดแทนได้
• ต้องบ้วนปากอย่างน้อยวันละหลายครั้ง ได้แก่ หลังตื่นนอน หลังอาหารทุกมื้อ ทุก ๆ 2 ชั่วโมง และก่อนนอน
• สามารถเริ่มแปรงฟันได้หลังผ่าตัด 4 วัน แต่ควรทำอย่างเบามือ โดยเฉพาะบริเวณใกล้แผลผ่าตัด
• สามารถใช้ยาสีฟันได้ตามปกติ แต่ยังคงต้องบ้วนปากเป็นประจำอย่างน้อย 1 เดือน
• เวลาอาบน้ำหรือสระผม ควรใช้พลาสเตอร์กันน้ำปิดทับแผลบริเวณหูและโหนกแก้ม หลังอาบน้ำควรถอดพลาสเตอร์ออกและซับให้แห้ง หากพลาสเตอร์หรือแผ่นปิดแผลหลุด ควรรักษาบริเวณนั้นให้แห้งสะอาด
• หลังผ่าตัด 4 สัปดาห์ สามารถเข้าซาวน่า หรือสปาได้
• สามารถทำกิจกรรมเบา ๆ เช่น เดินเล่น เพื่อช่วยลดบวม โดยเฉพาะช่วงกลางคืน
• หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก เช่น ว่ายน้ำ ปีนเขา หรือฟิตเนส อย่างน้อย 1 เดือน
• รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
• หากรับประทานยาแก้ปวดตามแพทย์สั่งแล้วยังปวด สามารถรับประทานพาราเซตามอลเพิ่มได้ 1 เม็ด
• หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินหรือวิตามินอีอย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด เพราะเสี่ยงต่อการเลือดออก
• ควรใส่ผ้ารัดหน้าอย่างต่อเนื่องในช่วง 1 สัปดาห์แรก โดยเฉพาะ 3 วันแรกควรใส่ตลอดเวลา (สามารถถอดออกชั่วคราวระหว่างมื้ออาหารหรือตอนนอนได้ หากอึดอัดมาก)
• ภายใน 3 วันแรก สามารถถอดผ้ารัดพักได้ทุก ๆ 1 ชั่วโมง ประมาณ 20–30 นาที
• ผ้ารัดไม่ควรรัดแน่นเกินไป เพราะอาจทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่งผลให้ปวดศีรษะหรือผมร่วงได้ ควรปรับให้กระชับพอดี
• หากมีเลือดออกจากช่องปากหรือโพรงจมูก ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรง ให้คายหรือบ้วนออกเบาๆ หากมีเลือดออกมาก เลือดไหลลงคอ บริเวณผ่าตัดบวมผิดปกติ เลือดออกไม่หยุด หรือมีภาวะก้อนเลือดใต้ผิวหนัง ควรรีบติดต่อโรงพยาบาลทันที
• อาจมีอาการชา หรือเสียวแปลบบริเวณใบหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟื้นตัว
• หากภายใน 1–2 วันแรกหลังผ่าตัด มีอาการบวมมากผิดปกติหรือปวดรุนแรง ควรรีบติดต่อโรงพยาบาลทันที
• ใน 1 สัปดาห์แรกหลังทำ ควรหลีกเลี่ยงการก้มศีรษะ และพยายามให้ศีรษะสูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อลดอาการบวม
• ภายใน 1–3 วันแรก สามารถประคบเย็นได้ โดยต้องใช้ผ้าก๊อซรองระหว่างถุงน้ำแข็งกับผิวหนัง ห้ามประคบเย็นสัมผัสผิวโดยตรง
• ห้ามนวดหรือขยี้บริเวณที่ร้อยไหม
• แผ่นปิดแผลหรือเทปที่แปะไว้จะถูกนำออกโดยแพทย์ใน 2–3 วันหลังทำ ห้ามแกะออกเอง
• หลีกเลี่ยงการเข้าซาวน่า อบไอน้ำ หรือแช่น้ำอุ่น/อ่างน้ำ เป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน
• สามารถทำกิจกรรมเบา ๆ เช่น เดินเล่นได้
• การออกกำลังกายหนัก เช่น วิ่ง ฟิตเนส หรือว่ายน้ำ ควรรออย่างน้อย 1 เดือน
• ควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
• ควรงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 เดือน เพราะแอลกอฮอล์อาจรบกวนการทำงานของเม็ดเลือดขาวและทำให้แผลหายช้า
• ห้ามสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี เสี่ยงต่อการติดเชื้อและแผลหายช้า
• หลังทำ อาจมีอาการชา เจ็บเล็กน้อย หรือรู้สึกเสียวแปลบ รวมถึงอาการไม่สบายเวลาขยับหรือเคี้ยว ซึ่งเป็นภาวะปกติและมักจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 1–6 เดือน
• อาจพบรอยบุ๋มบริเวณใบหน้า (คล้ายรอยลักยิ้ม) เนื่องจากสมดุลของกล้ามเนื้อเปลี่ยนไปชั่วคราว โดยทั่วไปจะหายเองภายใน 2–4 สัปดาห์ หากรอยบุ๋มไม่หายหรือแย่ลง ควรติดต่อโรงพยาบาลเพื่อตรวจติดตาม
• หากมีอาการผิดปกติรุนแรง ควรรีบติดต่อโรงพยาบาลทันที
• ภายใน 3 วันแรกหลังการรักษา ควรรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และควรรับประทานยาหลังอาหารทุกครั้ง
• ในช่วง 2–3 วันแรก อาจมีอาการบวมมากขึ้นหรือมีรอยช้ำบริเวณที่ฉีด ซึ่งมักจะค่อย ๆ หายไปเองภายใน 1–2 สัปดาห์
• ห้ามนวด กด หรือขยี้บริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 7 วันหลังทำ
• ในช่วง 7 วันแรก ควรหลีกเลี่ยงการนวดหน้า การอบซาวน่า การออกกำลังกายหนักที่ทำให้เหงื่อออกมากหรือทำให้ร่างกายร้อนจัด รวมถึงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
• ห้ามกดทับหรือกดแรง ๆ บริเวณที่ฉีด หากทำการเติมเต็มที่จมูก ควรงดการใส่แว่นประมาณ 2 สัปดาห์
• หากพบว่าบริเวณที่ฉีดหรือใกล้เคียงมีอาการ แดงซีด หรือขาวผิดปกติ และปวดรุนแรง ต้องรีบมาพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อน
• หากมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรรีบติดต่อแพทย์ผู้รักษาหรือเข้ามาตรวจที่โรงพยาบาล