คำแนะนำและข้อควรปฏิบัติก่อนเข้ารับการผ่าตัด

ข้อควรระวังก่อนการผ่าตัด

• หากท่านมีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคไทรอยด์ หรือโรคลมชัก โรคทางจิตเวช โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้า หากจำเป็น ท่านอาจต้องพบวิสัญญีแพทย์และเข้ารับการตรวจเพิ่มเติมเพื่อความปลอดภัยในการผ่าตัด

• หากท่านเคยมีประวัติการแพ้ยา หรือมีอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา โปรดแจ้งชื่อยาหรือสารที่แพ้ รวมถึงอาการแพ้ เช่น คัน ผื่นลมพิษ หายใจลำบาก เป็นต้น เพื่อที่แพทย์จะได้หลีกเลี่ยงการใช้ยาและกำหนดวิธีการให้ยาสลบที่เหมาะสม

• หากท่านเคยเข้ารับการผ่าตัดเกี่ยวกับหัวใจ ปอด ตับ ไต สมอง หรือเคยได้รับเคมีบำบัด โปรดแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

• ผู้ป่วยโรคโลหิตจางอาจมีอาการกำเริบหลังผ่าตัด จึงควรได้รับการประเมินและรักษาภาวะโลหิตจางก่อนเข้ารับการผ่าตัด

• หากมีอาการไข้สูง ไอมีเสมหะ ไอ เจ็บคอ หรือเป็นหวัดภายใน 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด โปรดแจ้งแพทย์ทันที

• ผู้ที่กำลังรับประทานยารักษาโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคไทรอยด์ โรคลมชัก ยาฮอร์โมน หรือยาทางจิตเวช จำเป็นต้องแจ้งแพทย์ผู้ทำการรักษา การใช้ยาจะต้องปรับตามความเหมาะสม โดยต้องได้รับการยืนยันจากโรงพยาบาลว่าควรหยุดหรือรับประทานต่อ และไม่ว่าท่านจะได้รับยาวันผ่าตัดหรือไม่ กรุณานำยาทั้งหมดที่ใช้อยู่ติดตัวมาที่โรงพยาบาลด้วย

• ควรงดการใช้ยาแอสไพริน ยาที่มีส่วนผสมของแอสไพริน ยาฮอร์โมน ยาสมุนไพร และวิตามินอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด

• หากวันผ่าตัดตรงกับช่วงมีประจำเดือน กรุณาแจ้งแพทย์ เนื่องจากการมีประจำเดือนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการฟกช้ำและบวมหลังผ่าตัด จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการผ่าตัดในช่วงนี้

• การสูบบุหรี่ทำให้แผลหายช้า เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ และส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาสลบ แนะนำให้งดสูบบุหรี่ตั้งแต่ตัดสินใจผ่าตัด

• การดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลต่อการทำงานของตับและการสลายยาสลบ แนะนำให้งดดื่มอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด

• งดน้ำและอาหารทุกชนิด รวมถึงลูกอมและหมากฝรั่ง อย่างน้อย 9 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด

• พักผ่อนให้เพียงพอในคืนก่อนผ่าตัด

• ถอดเล็บเจล ยาทาเล็บมือและเท้า รวมถึงเครื่องประดับทั้งหมด แนะนำให้สวมเสื้อผ้าที่สบาย ไม่ใส่แหวน สร้อยคอ หรือสิ่งประดับอื่น ๆ

• ในวันผ่าตัด ควรอาบน้ำหรือทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อย หากเป็นการผ่าตัดเกี่ยวกับใบหน้า ต้องแปรงฟันให้สะอาด

• ห้ามแต่งหน้า และถอดคอนแทคเลนส์ก่อนมาถึงโรงพยาบาล

• หากกลับบ้านในวันเดียวกัน ห้ามขับรถเอง

• ควรเตรียมอุปกรณ์ปกปิดใบหน้า เช่น หมวก ผ้าพันคอ แว่นกันแดด หรือหน้ากากอนามัย

• หากมีการฝังอุปกรณ์ทางการแพทย์ในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรือประสาทหูเทียม ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่และทีมแพทย์อีกครั้งในวันผ่าตัด

ข้อควรปฏิบัติหลังการผ่าตัด

• ห้ามติดสติ๊กเกอร์ตาสองชั้นภายใน 2 สัปดาห์หลังผ่าตัด

ข้อควรระวังหลังการผ่าตัดศัลยกรรมตา

• ภายใน 1 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด ควรรักษาท่าทางให้ศีรษะตั้งตรง หลีกเลี่ยงการก้ม และพยายามให้ศีรษะสูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อลดอาการบวม

• ควรนอนหงาย ห้ามนอนตะแคงหรือนอนคว่ำ

• สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัดหรือมีฤทธิ์กระตุ้น

• ใน 48 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัด อาจมีอาการบวมและช้ำชัดเจน ซึ่งโดยทั่วไปจะค่อย ๆ ลดลงภายใน 2–4 สัปดาห์ (แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล)

• สามารถประคบเย็นได้ในช่วง 1–3 วันแรกหลังผ่าตัด และหลังจากครบ 7 วันสามารถประคบร้อนได้

• หลีกเลี่ยงการร้องไห้ ขยี้ตา หรือการหลับตาแรง ๆ

• ห้ามให้ดวงตาได้รับแรงกด เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการเลือดออก

• การตัดไหมขึ้นกับวิธีการผ่าตัด โดยทั่วไปทำใน 6–7 วันหลังผ่าตัด

• หลังตัดไหม ควรทายาขี้ผึ้งตาอีริโทรมัยซิน (Erythromycin ophthalmic ointment) วันละ 3 ครั้ง โดยใช้คอตตอนบัดแต้มเล็กน้อย หากมีอาการตาล้า แสบตา หรือแห้ง สามารถใส่ยานี้ก่อนนอนได้

• ห้ามแกะสะเก็ดแผลหรือจับต้องบริเวณแผลเอง

• ก่อนตัดไหม ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดใบหน้าหลีกเลี่ยงบริเวณแผล

• หลังตัดไหม 3 วัน สามารถล้างหน้าและแต่งหน้าได้ แต่ควรทำอย่างเบามือ และหลีกเลี่ยงการขยี้รอบดวงตา

• หากเป็นการผ่าตัดถุงใต้ตา ให้รออย่างน้อย 3 วันหลังตัดไหมจึงเริ่มล้างหน้าได้

• หลังผ่าตัด 1 เดือน สามารถแต่งตาได้ และต้องใช้ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางสำหรับดวงตาโดยเฉพาะ

• หลังผ่าตัด 3 เดือน สามารถใส่ขนตาปลอมหรือทำหัตถการความงาม เช่น สักคิ้วกึ่งถาวร ได้

• หลังผ่าตัด 1 เดือน สามารถใส่คอนแทคเลนส์ได้

• หลีกเลี่ยงการอบไอน้ำหรือซาวน่าอย่างน้อย 1 เดือน

• หลังผ่าตัด 1 สัปดาห์ สามารถทำกิจวัตรเบา ๆ ได้

• หลังผ่าตัด 1 เดือน สามารถทำกิจกรรมที่ใช้แรงมากขึ้น เช่น ปีนเขา ฟิตเนส หรือว่ายน้ำ

• รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด หากมีอาการผิดปกติ เช่น ท้องเสีย มีผื่น ควรรีบติดต่อโรงพยาบาล

• หากปวดมาก สามารถใช้ยาพาราเซตามอลเพิ่มเติมนอกจากยาที่แพทย์สั่งได้

• หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินหรือวิตามินอีภายใน 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเลือดออก

• ห้ามสูบบุหรี่และดื่มสุราอย่างน้อย 1 เดือนหลังผ่าตัด เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เลือดออก และทำให้แผลหายช้า

• อาจมีอาการเยื่อบุตาบวม ซึ่งไม่ส่งผลต่อการมองเห็นและจะหายเอง

• อาการช้ำ เลือดออกในตา หรือเยื่อบุตาบวม อาจคงอยู่ประมาณ 2–3 สัปดาห์

• รูปตาจะคงที่ประมาณ 6 เดือนหลังผ่าตัด

• ผู้ที่ผ่าตัดแก้ไขหนังตาตกหรือตัดแต่งถุงใต้ตา อาจมีอาการตาแห้ง แพ้แสง ระคายเคืองตา หรือน้ำตาไหล ซึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้น สามารถใช้น้ำตาเทียมช่วยได้

• ผิวหนังรอบดวงตาและหน้าผากอาจมีสีคล้ำ ซึ่งจะจางลงภายในไม่กี่เดือน

• กรณีผ่าตัดถุงใต้ตาโดยเปิดแผลจากเยื่อบุตาด้านใน อาจมีน้ำเลือดซึมเล็กน้อยคล้าย “น้ำตาเลือด” ในช่วง 1 สัปดาห์แรก ซึ่งไม่ถือว่าผิดปกติ แต่หากอาการไม่หายควรมาพบแพทย์

• ในช่วงหลายเดือนแรก อาจพบลิ่มเลือดเล็ก ๆ บริเวณเยื่อบุตา สามารถรักษาได้ง่าย ไม่ต้องกังวล แจ้งโรงพยาบาลเพื่อรับการดูแล

• หากมีอาการปวดตารุนแรง การมองเห็นเปลี่ยนแปลง หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรรีบติดต่อโรงพยาบาลทันที

ข้อควรระวังหลังการผ่าตัดเสริมจมูก

• ใน 1 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด ควรรักษาท่าทางให้นั่งหรือยืนตรง หลีกเลี่ยงการก้มศีรษะ และพยายามให้ศีรษะสูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อลดอาการบวม

• ควรนอนหงายตลอดใน 1 สัปดาห์แรก ห้ามนอนตะแคงหรือนอนคว่ำ

• สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด กลิ่นแรง หรือมีฤทธิ์กระตุ้น

• ใน 48 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัด อาการบวมและช้ำอาจเห็นได้ชัด โดยทั่วไปจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2–4 สัปดาห์ (แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล)

• ในช่วงวันผ่าตัดจนถึง 3 วันหลังผ่าตัด สามารถประคบเย็นได้ หลังจากนั้นไม่จำเป็นต้องประคบเย็นหรือร้อน

• ห้ามแกะหรือถอดเทปและเฝือกดั้งด้วยตนเอง

• หากมีการใส่วัสดุอุดในจมูก:

• กรณีสำลีสีขาว จะถูกนำออกภายใน 1–2 วันหลังผ่าตัด

• กรณีซิลิโคนใส จะถูกนำออกภายใน 1 สัปดาห์

การตัดไหม:

• ไหมบริเวณสันจมูก ตัดออกใน 1 สัปดาห์

• ไหมบริเวณปีกจมูก (กรณีผ่าตัดเล็กจมูก) ตัดออกภายใน 7–10 วัน

• ไหมภายในโพรงจมูก ตัดออกภายใน 2 สัปดาห์

• หลังการตรวจติดตามครั้งแรก ควรทายาตามที่แพทย์สั่งวันละครั้งจนกว่าจะตัดไหม

• ห้ามแกะสะเก็ดหรือแผลเป็นภายในโพรงจมูก

• ห้ามแคะจมูกหรือใช้คอตตอนบัดล้วงเข้าไป

• ก่อนถอดเฝือกและเทป สามารถใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้า หลีกเลี่ยงบริเวณจมูก

• หลังตัดไหมบริเวณสันจมูก 1 วัน สามารถล้างหน้าและแต่งหน้าได้ แต่ควรทำอย่างเบามือ หลีกเลี่ยงการกดหรือถูแรง

• ควรงดการอบซาวน่าและอบไอน้ำอย่างน้อย 1 เดือน

• หลังผ่าตัด 1 สัปดาห์ สามารถทำกิจกรรมเบา ๆ ได้ตามปกติ

•  การออกกำลังกายหนัก เช่น ปีนเขา ฟิตเนส ว่ายน้ำ ควรพักอย่างน้อย 1 เดือน

• รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด หากมีอาการผิดปกติ เช่น ท้องเสีย มีผื่น หรืออาการอื่น ๆ รีบติดต่อโรงพยาบาล

• หากมีอาการปวด สามารถใช้ยาแก้ปวดตามที่แพทย์สั่ง หากยังปวดมาก อาจรับประทานพาราเซตามอลเพิ่มได้ 1 เม็ด

• ห้ามใช้ยาแอสไพรินหรือวิตามินอีภายใน 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด เนื่องจากเสี่ยงต่อการเลือดออก

• ห้ามสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 เดือนหลังผ่าตัด เพราะอาจทำให้แผลหายช้าและเสี่ยงติดเชื้อ

• หลังผ่าตัด 1 สัปดาห์ สามารถสั่งน้ำมูกได้เบา ๆ และหลัง 4 สัปดาห์ จึงสามารถสั่งน้ำมูกได้ตามปกติ

• อาการบวมจะแตกต่างกันในแต่ละบุคคล และอาจไม่เท่ากันทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นภาวะปกติ

• ในช่วงแรกอาจรู้สึกว่าจมูกแน่นหรือไม่สมดุล เนื่องจากบวม ซึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้น

• แนะนำให้สวมแว่นหลังผ่าตัดอย่างน้อย 1 เดือน

• หากมีการตอกกระดูก อาจต้องนวดบริเวณที่ผ่าตัดตั้งแต่ 1 สัปดาห์ถึง 1 เดือนหลังผ่าตัด ตามคำแนะนำของแพทย์

• อาการบวมบริเวณสันจมูกและปลายจมูกจะยุบช้ากว่าส่วนอื่น โดยรูปทรงสุดท้ายจะชัดเจนประมาณ 6 เดือนหลังผ่าตัด

• อาจมีน้ำมูก คัดจมูก หรือเลือดออกเล็กน้อยหลังผ่าตัด ซึ่งจะดีขึ้นตามเวลา

• หากมีอาการบวมรุนแรง ปวดมากผิดปกติ ผิวหนังบริเวณจมูกร้อนแดง เปลี่ยนสี หรือมีเลือดออกไม่หยุด ให้รีบติดต่อโรงพยาบาลทันที

• หากจมูกได้รับการกระแทกหรือบาดเจ็บ ต้องรีบมาพบแพทย์โดยเร็ว

ข้อควรระวังหลังการผ่าตัดปรับแต่งโครงหน้า

• ใน 1 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด ควรรักษาศีรษะให้สูงกว่าระดับหัวใจประมาณ 20–30 องศา เพื่อลดอาการบวมของใบหน้า

• ภายใน 1 เดือน ควรนอนหงาย และหลีกเลี่ยงการนอนตะแคง เพราะอาจกดทับบริเวณผ่าตัดจนทำให้เกิดอาการไม่สบายหรือแผลฟื้นตัวช้า

• 6 ชั่วโมงหลังผ่าตัด สามารถเริ่มจิบน้ำเล็กน้อย หากไม่คลื่นไส้จึงค่อย ๆ รับประทานอาหารอ่อน เช่น โจ๊ก ขนมปังนิ่ม เต้าหู้ ไข่ต้ม หรืออาหารที่หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เคี้ยวง่าย

• 1 สัปดาห์แรก ควรรับประทานอาหารเหลวและอาหารอ่อนเป็นหลัก หลังจากนั้นจึงค่อยกลับมารับประทานอาหารปกติ

• ภายใน 2 สัปดาห์แรก ควรหลีกเลี่ยงอาหารมันจัด เผ็ดจัด หรือเค็มจัด และ งดอาหารแข็งหรือเหนียวที่ต้องออกแรงเคี้ยว เช่น หมากฝรั่ง ข้าวเหนียว ลูกอมแข็ง ถั่ว ฯลฯ อย่างน้อย 2 เดือน

• กรณีผ่าตัดโหนกแก้ม ต้องระวังไม่ให้บริเวณผ่าตัดรับแรงกดหรือแรงเคี้ยวอย่างน้อย 3 เดือน

• ควรดื่มน้ำอุ่นอย่างน้อยวันละ 1 ลิตร เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ

• ห้ามใช้หลอดดูดน้ำ

• 3 วันแรกหลังผ่าตัด สามารถประคบเย็นเพื่อช่วยลดบวมและช้ำ

• ประมาณ 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด อาการบวมและช้ำจะเริ่มลดลง และมักดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน 3 สัปดาห์

• ช่วงวันที่ 2–3 อาจพบว่ามีอาการบวมเพิ่มขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นภาวะปกติ ไม่ต้องกังวล ให้ประคบเย็นต่อไป

• หลังจากนั้นไม่จำเป็นต้องประคบเย็นหรือร้อนเพิ่มเติม

• หลังรับประทานอาหารทุกครั้ง ต้องบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่แพทย์จัดให้ (ผสมเจือจางกับน้ำในอัตรา 1:1) เพื่อป้องกันการติดเชื้อในช่องปาก หากน้ำยาหมดสามารถใช้น้ำสะอาดแทนได้

• ต้องบ้วนปากอย่างน้อยวันละหลายครั้ง ได้แก่ หลังตื่นนอน หลังอาหารทุกมื้อ ทุก ๆ 2 ชั่วโมง และก่อนนอน

• สามารถเริ่มแปรงฟันได้หลังผ่าตัด 4 วัน แต่ควรทำอย่างเบามือ โดยเฉพาะบริเวณใกล้แผลผ่าตัด

• สามารถใช้ยาสีฟันได้ตามปกติ แต่ยังคงต้องบ้วนปากเป็นประจำอย่างน้อย 1 เดือน

• เวลาอาบน้ำหรือสระผม ควรใช้พลาสเตอร์กันน้ำปิดทับแผลบริเวณหูและโหนกแก้ม หลังอาบน้ำควรถอดพลาสเตอร์ออกและซับให้แห้ง หากพลาสเตอร์หรือแผ่นปิดแผลหลุด ควรรักษาบริเวณนั้นให้แห้งสะอาด

• หลังผ่าตัด 4 สัปดาห์ สามารถเข้าซาวน่า หรือสปาได้

• สามารถทำกิจกรรมเบา ๆ เช่น เดินเล่น เพื่อช่วยลดบวม โดยเฉพาะช่วงกลางคืน

• หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก เช่น ว่ายน้ำ ปีนเขา หรือฟิตเนส อย่างน้อย 1 เดือน

• รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

• หากรับประทานยาแก้ปวดตามแพทย์สั่งแล้วยังปวด สามารถรับประทานพาราเซตามอลเพิ่มได้ 1 เม็ด

• หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินหรือวิตามินอีอย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังผ่าตัด เพราะเสี่ยงต่อการเลือดออก

• ควรใส่ผ้ารัดหน้าอย่างต่อเนื่องในช่วง 1 สัปดาห์แรก โดยเฉพาะ 3 วันแรกควรใส่ตลอดเวลา (สามารถถอดออกชั่วคราวระหว่างมื้ออาหารหรือตอนนอนได้ หากอึดอัดมาก)

• ภายใน 3 วันแรก สามารถถอดผ้ารัดพักได้ทุก ๆ 1 ชั่วโมง ประมาณ 20–30 นาที

• ผ้ารัดไม่ควรรัดแน่นเกินไป เพราะอาจทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่งผลให้ปวดศีรษะหรือผมร่วงได้ ควรปรับให้กระชับพอดี

• หากมีเลือดออกจากช่องปากหรือโพรงจมูก ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรง ให้คายหรือบ้วนออกเบาๆ หากมีเลือดออกมาก เลือดไหลลงคอ บริเวณผ่าตัดบวมผิดปกติ เลือดออกไม่หยุด หรือมีภาวะก้อนเลือดใต้ผิวหนัง ควรรีบติดต่อโรงพยาบาลทันที

• อาจมีอาการชา หรือเสียวแปลบบริเวณใบหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟื้นตัว

• หากภายใน 1–2 วันแรกหลังผ่าตัด มีอาการบวมมากผิดปกติหรือปวดรุนแรง ควรรีบติดต่อโรงพยาบาลทันที

ข้อควรระวังหลังการผ่าตัดดึงหน้าแบบร้อยไหม

• ใน 1 สัปดาห์แรกหลังทำ ควรหลีกเลี่ยงการก้มศีรษะ และพยายามให้ศีรษะสูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อลดอาการบวม

• ภายใน 1–3 วันแรก สามารถประคบเย็นได้ โดยต้องใช้ผ้าก๊อซรองระหว่างถุงน้ำแข็งกับผิวหนัง ห้ามประคบเย็นสัมผัสผิวโดยตรง

• ห้ามนวดหรือขยี้บริเวณที่ร้อยไหม

• แผ่นปิดแผลหรือเทปที่แปะไว้จะถูกนำออกโดยแพทย์ใน 2–3 วันหลังทำ ห้ามแกะออกเอง

• หลีกเลี่ยงการเข้าซาวน่า อบไอน้ำ หรือแช่น้ำอุ่น/อ่างน้ำ เป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน

• สามารถทำกิจกรรมเบา ๆ เช่น เดินเล่นได้

• การออกกำลังกายหนัก เช่น วิ่ง ฟิตเนส หรือว่ายน้ำ ควรรออย่างน้อย 1 เดือน

• ควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

• ควรงดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 เดือน เพราะแอลกอฮอล์อาจรบกวนการทำงานของเม็ดเลือดขาวและทำให้แผลหายช้า

• ห้ามสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี เสี่ยงต่อการติดเชื้อและแผลหายช้า

• หลังทำ อาจมีอาการชา เจ็บเล็กน้อย หรือรู้สึกเสียวแปลบ รวมถึงอาการไม่สบายเวลาขยับหรือเคี้ยว ซึ่งเป็นภาวะปกติและมักจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 1–6 เดือน

• อาจพบรอยบุ๋มบริเวณใบหน้า (คล้ายรอยลักยิ้ม) เนื่องจากสมดุลของกล้ามเนื้อเปลี่ยนไปชั่วคราว โดยทั่วไปจะหายเองภายใน 2–4 สัปดาห์ หากรอยบุ๋มไม่หายหรือแย่ลง ควรติดต่อโรงพยาบาลเพื่อตรวจติดตาม

• หากมีอาการผิดปกติรุนแรง ควรรีบติดต่อโรงพยาบาลทันที

ข้อควรระวังหลังการรักษาด้วยการฉีดเติมเต็มใบหน้า (Filler/ Fat Graft)

• ภายใน 3 วันแรกหลังการรักษา ควรรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และควรรับประทานยาหลังอาหารทุกครั้ง

• ในช่วง 2–3 วันแรก อาจมีอาการบวมมากขึ้นหรือมีรอยช้ำบริเวณที่ฉีด ซึ่งมักจะค่อย ๆ หายไปเองภายใน 1–2 สัปดาห์

• ห้ามนวด กด หรือขยี้บริเวณที่ฉีดอย่างน้อย 7 วันหลังทำ

• ในช่วง 7 วันแรก ควรหลีกเลี่ยงการนวดหน้า การอบซาวน่า การออกกำลังกายหนักที่ทำให้เหงื่อออกมากหรือทำให้ร่างกายร้อนจัด รวมถึงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่

• ห้ามกดทับหรือกดแรง ๆ บริเวณที่ฉีด หากทำการเติมเต็มที่จมูก ควรงดการใส่แว่นประมาณ 2 สัปดาห์

• หากพบว่าบริเวณที่ฉีดหรือใกล้เคียงมีอาการ แดงซีด หรือขาวผิดปกติ และปวดรุนแรง ต้องรีบมาพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อน

• หากมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรรีบติดต่อแพทย์ผู้รักษาหรือเข้ามาตรวจที่โรงพยาบาล